พูดถึงประกันสังคม ช่วงนี้ที่มีข่าวฮ็อตฮิต ทำให้เรานึกถึงวันที่ใช้สิทธินี้เหมือนกัน ซึ่งอาจจะผ่านมานานแล้วแต่ก็ยังไม่ลืม เพราะหงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องไปโรงพยาบาลด้วยโรคเล็กๆ น้อยๆ
ทำไมถึงใช้สิทธิประกันสังคม
เช้าๆ ตื่นมาพร้อมกับอาการคอเคล็ด ที่แบบเจ็บ แบบมากๆๆๆๆๆ แบบขยับทีนี้ร้องโอ้ยได้เลย นั่งคอตรงยังไม่ได้เลยค่ะ😂 ก็เลยต้องลางาน แต่อย่างที่รู้ๆ หลายๆ ที่ หากจะลางานต้องใช้ใบรับรองแพทย์ ถามว่าทำไมถึงไปหาหมอ เอาตรงๆ เพราะจะมาเอาใบรับรองแพทย์ไปให้ที่ทำงานนี่แหล่ะ ไม่ได้อยากมาเลยสักนิด….เราหายากินเองได้อยู่แล้วเพราะเราเป็นเภสัชกร จริงๆ ก็แค่อยากกินยาแก้ปวดแล้วนอนไปเฉยๆ ทำไมคนป่วยต้องลำบากถ่อไปโรงพยาบาลเพื่อไปนั่งรอเข้าตรวจเป็นชั่วโมงด้วยนะ ถึงแม้เราจะเป็นเภสัชกรที่รู้เรื่องยา แต่ลาป่วยก็ต้องใช้ใบรับรองแพทย์เหมือนกัน อาจจะดูงงๆ แบบทำไมต้องใช้ เราเป็นเภสัชกรก็ดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว หยิบยากินเองไปสิ ซึ่งก็จริง คิดแล้วมันก็ตลก หลายๆ เรื่องมันไม่เมคเซ้นท์เลย บุคลากรทางการแพทย์ก็ต้องใช้ใบรับรองแพทย์เหมือนกัน ไม่มีข้อยกเว้น แต่จะไปโรงพยาบาลเอกชนก็รู้สึกเปลืองเพราะเราแค่จะเอาใบรับรองแพทย์ กับยาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่ไปดีกว่า…ก็คงต้องยอมนั่งรอนานๆ เพื่อเจอหมอจากสิทธิประกันสังคมตามระเบียบ “เพียงเพื่อกระดาษ 1 ใบถ้วน” 😐
แต่ไปหาหมอแล้วเจอเรื่องช็อคกว่าที่คิด…
พอไปถึงโรงพยาบาล เราบอกหมอว่าเจ็บคอ อาจจะพูดไม่ชัดเจนเท่าไรลืมนึกไปว่าคำนี้ความหมายมันได้หลายแบบ ลืมบอกหมอว่าเจ็บคอที่หมายถึงเจ็บที่แถวๆคอ(ปวดคอ) หมอก็ส่องกล้องเข้าไปในคอเลย เราก็เอะใจละ เดี๋ยวบอกว่าไม่ได้เจ็บด้านใน แต่หมอก็รีบเหลือเกิ๊นนนนนน…. ส่องเสร็จรีบบอกว่าเดี๋ยวให้ยาฆ่าเชื้อ เราก็อึ้งไป…แล้วก็บอกหมออีกทีว่าเจ็บด้านนอกค่ะ แบบปวดคอ ขยับแล้วเจ็บ เค้าก็ออๆ งั้นเดี๋ยวให้ยาแก้ปวดไปนะ หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราอึ้ง ก็เพราะว่าเราไม่ได้เจ็บคอด้านใน พอตรวจด้านในแล้วหมอจะจ่ายยาฆ่าเชื้อสำหรับอาการเจ็บคอที่อยู่ด้านในปากเรา ซึ่งเราไม่ได้เป็นอะไรเลย ก็คือยาที่หมอกำลังจะให้ไม่ตรงกับโรคที่เราเป็น แล้วหมอก็ไม่ถามเราให้ดีก่อนด้วยว่าเจ็บตรงไหนอะไร ยังไง ต้องให้เราพยายามบอกเอง อาจจะเพราะความรีบเป็นเหตุ เท่าที่เราเข้าใจหมอที่รับหน้าเราก็ยังดูวัยรุ่นอยู่ น่าจะจบใหม่มาไม่นานด้วย ทำให้เราเข้าใจเลยว่าถ้าคุณจะคาดหวังหาการรักษาที่ดีจากประกันสังคมก็คงจะยากจริงๆแหละ ถ้าเป็นคนอื่นอาจรับยาไปแล้ว แต่เพราะเราเป็นเภสัชกรก็เลยรู้ว่าหมอกำลังเข้าใจเราผิดอยู่…แล้วจริงๆ การให้ยาฆ่าเชื้อกับคนไข้ทุกวันนี้ก็ควรคิดให้ดีก่อนด้วย ถ้าคนไข้ไม่ได้ติดเชื้อจริงๆ ให้ยาฆ่าเชื้อไปแล้วส่งผลเสียมากกว่าด้วยนะสิ ซึ่งเราที่เป็นเภสัชกรไม่ยอมกินยาฆ่าเชื้อแน่ๆ ถ้าเรารู้ตัวเองว่าไม่ได้ติดเชื้อ
ทำยังไงกับชีวิตดี?
เห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึก…เห้ออออออ เหมือนกันนะ มันน่าท้อแท้ไหมหละ😂 ก็ต้องบอกเลยว่าชีวิตนี้ต้องทำประกันสุขภาพหรือเก็บเงินให้ได้เยอะๆ เพื่อจะจ่ายเอง ถ้าอยากเจอหมอดีๆ เก่งๆ ซึ่งจะเลือกได้ก็ต่อเมื่อมีเงินเท่านั้น แต่ถามว่าชีวิตจริง ถ้าเอาแบบไม่โลกสวยนะ เราเข้าใจได้นะ ทุกอาชีพแหละ จะคาดหวังให้คนเก่งทุกคนมันแทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หมอก็เช่นกัน แล้วหมอโดยทั่วๆ ไปเราคิดว่าเก่งอยู่แล้ว แต่บางทีอาจจะโหมงานหนัก ยิ่งหมอประกันสังคมยิ่งหนัก คนไข้มหาศาล มีเบลอบ้างอะไรบ้าง หรือความละเอียดรอบคอบของแต่ละคนไม่เท่ากันอยู่แล้ว เพราะนิสัยเค้าไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าพูดกันตรงๆ โอกาสที่หมอจะพลาดที่ประกันสังคมก็ต้องเยอะกว่าโรงพยาบาลเอกชนที่คนไข้ไม่ได้เยอะเท่าอยู่แล้ว สังเกตง่ายๆ เวลาเราไปโรงพยาบาลเอกชนคนนี่น้อยกว่ามากๆ หมอเองก็มีเวลาคิดได้ถี่ถ้วนกว่า มีเวลาคุยกับเรามากกว่า สรุปว่าหากจะไปหาหมอประกันสังคมก็คงต้องทำใจไว้หน่อย
แต่ถามว่าเราได้ทำประกันสุขภาพไหม ก็บอกได้แค่ว่าทำอันที่เป็นโรคร้ายแรง เพราะหากเกิดขึ้น เช่น มะเร็ง จะต้องใช้เงินเยอะมาก อาจหมดตัวได้เลย ก็เลยจำเป็นต้องทำไว้ ส่วนอันที่เป็นแบบไปหาหมอแล้วเบิกได้ อันนี้ยังไม่ได้ทำ เพราะรู้สึกว่าค่าเบี้ยมันแพงเกินไปจริงๆ มันเหมือนอารมณ์แบบรวมค่ารักษาเข้าไปในค่าเบี้ยแบบเต็มๆ ไปแล้วแล้วจ่ายให้เรา(เหมือนเอาเงินเราจ่ายให้ตัวเองนั่นแหละ😐) แล้วเราก็พอดูแลตัวเองได้เบื้องต้นด้วยก็เลยยังไม่ได้ทำ แต่ถ้าคุณผู้อ่าน ยังไม่ได้ทำประกันสุขภาพเอาไว้ก็แนะนำให้ทำโรคร้ายแรงไปก่อนเพราะหากเป็นจริงๆ ต้องจ่ายแพงมากที่สุด ส่วนอันอื่นอาจจะยังจ่ายไหว ค่อยทำเมื่อพร้อมก็ได้ แล้วก็ประกันค่ายที่ไม่ควรทำคือ…อออ ค่ะ (ขออภัยที่พูดชื่อเต็มไม่ได้ค่ะเด๋วโดนฟ้อง😂)
จริงๆ อยากจะบอกด้วยว่าถ้าใครที่ป่วยเล็กๆ น้อยๆ บางทีร้านยาดีๆ ที่มีเภสัชกรประจำอยู่ เช่น fascino ยังให้คำปรึกษาหรือพูดคุยกับคนไข้และได้ยาที่โอเคกลับมากิน แล้วราคาก็ไม่สูงมากด้วย อาจจะเป็นทางเลือกหากใครรู้สึกไม่อยากไปโรงบาลถ้าป่วยเล็กๆ น้อยๆ แล้วอยากได้ยากิน
“ขอให้คุณผู้อ่านทุกคนดูแลสุขภาพตัวเองดีๆ ร่างกายเราไม่มีใครใส่ใจเท่าตัวเองหรอก”